วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555


สุดยอดคอนเสิร์ตแห่งปี BODYSLAM LIVE IN คราม

สิ้นสุดการรอคอย เมื่อบอดี้สแลมประกาศการจัดงานคอนเสิร์ตใหญ่อย่างเป็นทางการใน “SODA CHANG presents BODYSLAM LIVE IN คราม” (โซดา ช้าง พรีเซ้นท์ บอดี้สแลม ไลฟ์ อิน คราม) ในวันเสาร์ที 27 พฤศจิกายน 2553 เวลา 19:00 – 22:00 น. ณ ราชมังคลากีฬาสถานสิ้นสุดการรอคอย เมื่อบอดี้สแลมประกาศการจัดงานคอนเสิร์ตใหญ่อย่างเป็นทางการ ในชื่อ ” บอดี้สแลม ไลฟ์อินคราม “ คอนเสิร์ตที่จะมอบประสบการณ์ครั้งสำคัญให้กับ บอดี้สแลมทุกๆคนมาร่วมร้อง เต้นให้สุดแรงบนพื้นที่สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สนามราชมังคลากีฬาสถาน


SODA CHANG presents BODYSLAM LIVE IN คราม” (โซดา ช้าง พรีเซ้นท์ บอดี้สแลม ไลฟ์ อิน คราม) ของ 4 หนุ่ม “ตูน , ปิ๊ด , ชัช , ยอด”วง BODYSLAM ไปเมื่อวันก่อนโดยใช้สถานที่แสดงจริง สนามราชมังคลากีฬาสถาน เปิดแถลงข่าว โดยแขกผู้มีเกียรติจาก บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ … คุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม , คุณสายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา , คุณวิเชียร ฤกษ์ไพศาล , คุณสถาพร พานิชรักษาพงศ์ และจาก บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ … คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี , คุณมารุต บูรณะเศรษฐกุล , คุณสัมฤทธิ์ ลู่วีระพันธ์ รวมถึงเพื่อนศิลปินจากค่าย genie records วง บิ๊กแอส , วง โน มอร์ เทียร์ , วง เคลียร์ มาร่วมเป็นสักขีพยานอย่างคับคั่ง
ท่ามกลางสื่อมวลชนที่มาร่วมทำข่าวมากเป็นประวัติการณ์ บรรยากาศเป็นไปอย่างตื่นตาตื่นใจประหนึ่งได้ดูคอนเสิร์ตจริง แสง สี เสียง ตระการตา แถมมีการจุดพลุเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ขาดก็แต่การโชว์จากศิลปินเท่านั้นเพราะ ตูน เกิดบาดเจ็บกระทันหันอย่างที่ทราบกัน แต่ก็มีมิวสิควิดิโอประมวลภาพสวย ๆ มาเติมเต็มได้เป็นอย่างดี ซึ่งหลังแถลงข่าว “ตูน” เปิดใจว่า …
“คอนเสิร์ตนี้จะ เป็นไฮไลท์อีกครั้งในชีวิต เหมือนเป็นการเดินทางครั้งนึงที่เราอยากเจอกับแฟนเพลงในสถานที่ที่มัน ตื่นเต้นขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น ผมไม่รู้ว่าแฟนบอดี้สแลมมีมากเท่าไหร่ แต่ที่เคยเล่นมาอย่าง อินดอร์ฯ , อิมแพค หรือ เขาใหญ่ ก็ได้ยินว่ายังมีอีกหลายคนที่อยากมาเชียร์พวกเราแต่ยังไม่ได้มาหรือมาไม่ได้ ก็คิดว่าครั้งนี้น่าจะเป็นโอกาสดีที่แฟนเพลงทุกคนจะมารวมตัวอยู่ในที่เดียว กัน ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าแฟนเพลง 4-5 หมื่นคนมาอยู่ด้วยกันภาพจะออกมาสวยงามขนาดไหน
ที่เลือก ราชมังคลากีฬาสถาน จัดงานนี้เพราะตอบเราในเรื่องความจุ เรื่องการเดินทาง เรื่องการทำงานของทีมงานทุกชีวิตมันสะดวกหลาย ๆ อย่าง เพลงที่เราเตรียมไว้มีไม่ต่ำกว่า 30 เพลง จะได้ฟังเพลงที่ทุกคนชอบทุกคนอยากฟัง บางเพลงจะอะเร้นจ์ใหม่เพื่อความสนุกของคอนเสิร์ตคงได้กระโดดโลดเต้นกันเต็ม ที่ การได้ทัวร์คอนเสิร์ตของพวกเราก็เหมือนการซ้อมไปในตัว เราได้เลือกเพลง ได้คิดก้อนโชว์ที่จะเกิดขึ้นบนเวทีไปพอสมควร
งานนี้เราได้ “พี่เต็ด” ยุทธนา บุญอ้อม มาเป็นเฮดในส่วนของภาพรวม มาช่วยดูโปรดักชั่นดีไซน์ ทำให้เราอุ่นใจมากตรงจุดนี้เพราะทีมของ พี่เต็ด ครีเอทีฟดีอยู่แล้ว ดีใจที่ได้ทำงานร่วมกับพี่เต็ดอีกครั้ง เรื่องแขกรับเชิญมีแน่นอนเป็นเกสท์ที่ยังไม่เคยขึ้นเวทีกับวงเรามาก่อนงาน นี้เป็นครั้งแรก และคิดว่าคงถูกใจทุกคแน่นอน ถ้าถามว่าคาดหวังแค่ไหน ด้วยความที่สเกลมันใหญ่เราเล่นแค่รอบเดียว และไม่รู้ว่าจะมีโอกาส จะมีแรงจัดแบบนี้อีกหรือเปล่า เลยไม่อยากให้คิดว่ารอครั้งหน้า อยากให้มาเป็น every bodyslam กันอีกครั้ง
เรามาช่วยเติมพลังให้กันและกัน มาร่วมสร้างประสบการณ์ดี ๆ ที่น่าจดจำในสถานที่ใหม่ที่ยังไม่มีใครได้สัมผัส ขอให้ทุกคนซ้อมร้องเพลง เตรียมใจ เตรียมแรงมาสนุกกัน ผมว่าวันนั้นจะเป็นวันที่ทุกคนมีความสุขมากครับ” ตูน เปิดใจ



ประวัติ โน๊ต อุดม แต้พานิช




ประวัติ : โน๊ต อุดม
ชื่อ : นาย อุดม แต้พานิช
เล่าเรื่องราวส่วนตัว :
อุดม แต้พานิช เกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2511 ปัจจุบัน อายุ
35 ปี แม้จะมีวัยเพียงเท่านี้ แต่อุดมก็ได้สร้างผลงานออกมา
สู่สายตาประชาชนมากมาย ซึ่งผลงานแต่ละชิ้นล้วนเป็นที่ได้
รับความนิยมสูงสุด
ประวัติการทำงาน
ก้าวแรกในวงการ :
อุดม แต้พานิช เข้าวงการบันเทิงครั้งแรกเมื่อปี 2536 เริ่มจาก
การเป็น 1 ใน 5 เสนาฯ รายการยุทธการขยับเหงือก ซึ่งเป็น
รายการ Comedian Show ที่มีเรตติ้งสูงสุดของช่อง 5 ในยุคนั้น
จึงทำให้อุดมได้แจ้งเกิดในวงการบันเทิง ย่าง เต็มตัวในชื่อ
เสนาฯโน้ต

กว่าจะมาเป็นเดี่ยว :
หลังจากความสำเร็จในครั้งแรก อุดม แต้พานิช ได้ตัดสินใจ
แยกตัวออกมาจากเสนาฯยุทธการ และได้สร้างปรากฏการณ์
ขึ้นในเมืองไทย นั่นก็คือ การพูดตลกคนเดียวบนเวที ทำให้
คนไทย ได้รู้จักคำว่า Stand Up Comedy หรือ ในชื่อไทย
เดี่ยวไมโครโฟน เป็นครั้งแรก

การแสดงเดี่ยวไมโครโฟนครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อปี 2538 และนี่
ถือเป็นการเริ่มต้น ส่งผลให้ อุดม แต้พานิชได้กลายเป็นตลก
เดี่ยวชั้นแนวหน้าของประเทศ จนเกิด เดี่ยว2, 3, 4 เป็นโชว์
คนเดียว กับไมค์ที่มีคนรอบัตรจำนวนมาก จนถึงกับต้องเปิด
การแสดงติดต่อกันถึง 21 รอบในแต่ละครั้ง ในประเทศนี้
นอกจากธงไชย แมคอินไตย์ ก็เห็นจะมีเขานี่แหล่ะที่ทำ
อย่างนั้นได้

เล่าเรื่องราว งานเขียน :
ทางด้านงานเขียนหนังสือ อุดม แต้พานิชเป็นคนหนึ่งที่ได้
ชื่อว่าเป็นนักเขียน Best Seller ปัจจุบันนี้หนังสือของอุดม
แต้พานิชมีถึง 9 เล่ม ได้แก่

- โทษฐานที่รู้จักกัน (พิมพ์ซ้ำ 31 ครั้ง)
- หนังสือโป๊ (พิมพ์ซ้ำ 20 ครั้ง)
- เดี่ยวไมโครโฟนโชว์ห่วย (พิมพ์ซ้ำ 12 ครั้ง)
- รวมมิตรแต้พานิช (พิมพ์ซ้ำ 18 ครั้ง)
- เดี่ยวฯ 4 (พิมพ์ซ้ำ 8 ครั้ง)
- โน้ตบุ๊ค (พิมพ์ซ้ำ 13 ครั้ง)
- ก้นกล่อง (พิมพ์ซ้ำ 5 ครั้ง)
- เดี่ยวไมโครโฟน 1 (พิมพ์ซ้ำ 11 ครั้ง)
- GU(Garbage of Udom) เล่ม 1-3 จำนวน 170,000 เล่มในเวลาเพียง 6 สัปดาห์

นอกเหนือเหล่านี้ :
นอกจากจะเป็น Stand Up Comedian เป็นนักเขียนแล้ว อุดม
แต้พานิช ยังมีผลงานทาง การแสดงภาพยนตร์เรื่อง กล่อง
รับบทเป็นพระเอกซึ่งได้รับค่าตัวแพงที่สุดในประเทศไทย
และยังเป็นพรีเซ็นเตอร์ถ่ายโฆษณาคลื่นโทรศัพท์มือถือDtac
อีกทั้งอุดมยังเป็นศิลปินวาดภาพ เขาเคยมีผลงานแสดงผลงาน
ทางศิลปะมาแล้วถึงสามครั้ง ครั้งแรกใช้ชื่อว่า ยาระบายในปี
2542 และในปีถัดมาใช้ชื่องานว่า Note Udom on Canvas
ล่าสุดในปี 2544 อุดมใช้ชื่องานว่า Voodoo Gu do

ผลงานต่างๆที่อุดมได้สร้างสรรค์ออกมานั้น ทำให้สื่อมวลชน
หลายแขนงได้ยกย่อง อุดม แต้พานิช ถือเป็นบุคคลสำคัญ
คนหนึ่งที่มีส่วนในการสร้างสรรค์สังคม

- ปี 2540 ได้รับเลือกเป็น บุคคลแห่งปีจากคอลัมภ์จุดประกาย
หนังสือพิมพ์กรุงเทพฯธุรกิจ
- ปี 2542 หนังสือพิมพ์ The Nation : Special issue ได้รับเลือก
ให้อุดม แต้พานิช ได้เป็น 1 ใน 100 บุคคลแห่งศตวรรษ
ในสาขาอาชีพการแสดง
- และในปีเดียวกันนั้นเอง นิตยสาร Hi Class ได้มีการจัดอุดม
แต้พานิช ให้เป็น 1 ใน 50 ผู้มีอิทธิพลทางความคิดที่สุดใน
ประเทศไทยอีกด้วย



มหกรรมพืชสวนโลก เฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554
ความเป็นมาของงานพืชสวนโล
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทยเห็นชอบในการเสนอขอเป็น เจ้าภาพจัดงาน
มหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 ระดับA2/B1 ต่อสมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ
(International Asssociation of Horticultural Producers:AIPH) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ได้เสนอโครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 ต่อคณธรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2551
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2551 อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระ เกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 (The International Horticultural Exposition: Royal Flora Ratchaphruek 2011) ณ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชืยงใหม่ พื้นที่รวมประมาณ 470 ไร่ มีกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 14 ธันวาคม 2554 ถึง 14 มีนาคม 2555
งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554
The International Horticultural Exposition: Royal Flora Ratchaphruek 2011
1. เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ 3 วโรกาสสำคัญของคนไทย คือ
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา ในปี พ.ศ. 2554
- สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในมหามงคลสมัยที่จะทรงเจริญพระชนมพรรษา  80 พรรษา ในปี 2555
- สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร  ในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษา ในปี 2555
2. เพื่อแสดงศักยภาพให้นานาประเทศได้ทราบถึงความสามารถของคนไทยด้านการเกษตร
3. เพื่อเผยแพร่ความรู้ และเทคโนโลยีด้านพืชวสวนให้แก่ เกษตรกร นักวิชาการ เยาวชน และประชาชนทั่วไป ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดวิสัยทัศน์ และแนวคิดในการพัฒนาวิชาชีพพืชสวนให้ก้าวหน้า ตลอดจนเป็นการเพิ่มช่องทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดมากยิ่งขึ้น
4. เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และบูรณาการด้านพืชสวนระหว่างประเทศ
5. เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
6. เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งธุรกิจด้านการนำเข้าสิ่งออกผลิตผลการเกษตร ธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม และธุรกิจบริการด้านต่างๆ
คาดว่าจะมีประชากรจากในประเทศและต่างประเทศประมาณ 2 ล้านคน(20,000 คน/วัน) เข้าชมงานฯและมีประเทศต่างๆเข้าร่วมงานไม่น้อยกว่า 30 ประเทศ
การจัดงานในครั้งนี้ ถือเป็นการแสดงศักยภาพให้นานาประเทศได้ทราบถึงความสามารถของคนไทยด้านการเกษตร
รวมถึงเป็นการเผยแพร่ความรู้และเทคโนโลยีด้านพืชสวนให้แก่เกษตรกร นักวิชาการ เยาวชน และประชาชนทั่วไป ซึ่ง
จะส่งเสริมให้เกิดวิสัยทัศน์และแนวคิดในการพัฒนาวิชาชีพพืชสวนให้ก้าวหน้า ตลอดจนเป็นการเพิ่มช่องทางการ
พัฒนาผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดมากยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและบูรณาการด้านพืชสวน
ระหว่างประเทศต่อไป อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว ทั้งภายใน
ประเทศและระหว่างประเทศ อันนำไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งธุรกิจด้านการนำเข้าส่งออกผลิตผลการเกษตร
ธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม และธุรกิจบริการด้านต่างๆ
อ้างอิง

ประวัติพระพุทธเจ้า




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก learntripitaka.com

          "ศาสนาพุทธ" เป็นศาสนาประจำชาติไทยของเรา แล้วมีสักกี่คนเอ่ย...ที่ทราบถึงประวัติของ "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ผู้ทรงเป็น "พระศาสดา" ของ "พระพุทธศาสนา" วันนี้กระปุกจึงนำเรื่องราวพุทธประวัติ หรือ ประวัติพระพุทธเจ้า มาฝากกันค่ะ
          พระพุทธเจ้าทรงมีพระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" หมายถึง ผู้ที่สำเร็จความมุ่งหมายแล้ว หรือผู้ปรารถนาสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ และ "พระนางสิริมหามายา" พระราชธิดาของกษัตริย์ราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ

          ในคืนที่พระพุทธเจ้าเสด็จปฏิสนธิในครรภ์พระนางสิริมหามายา พระนางทรงพระสุบินนิมิตว่า มีช้างเผือกมีงาสามคู่ได้เข้ามาสู่พระครรภ์ ณ ที่บรรทม ก่อนที่พระนางจะมีพระประสูติกาล ที่ใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน เมื่อวันศุกร์ ขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนวิสาขะ ปีจอ 80 ปีก่อนพุทธศักราช (ปัจจุบันสวนลุมพินีวันอยู่ในประเทศเนปาล)
          ทันทีที่ประสูติ เจ้าชายสิทธัตถะทรงดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว และมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท พร้อมเปล่งพระวาจาว่า "เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา" แต่หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติกาลได้แล้ว 7 วัน พระนางสิริมหามายาก็เสด็จสวรรคาลัย เจ้าชายสิทธัตถะจึงอยู่ในความดูแลของพระนางประชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา

          ทั้งนี้ พราหมณ์ ทั้ง 8 ได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ คือ หากดำรงตนในฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ผู้อายุน้อยที่สุดในจำนวนนั้น ยืนยันหนักแน่นว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวช และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน

 ประวัติพระพุทธเจ้า : ชีวิตในวัยเด็ก

          เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาเล่าเรียนจนจบศิลปศาสตร์ทั้ง 18 ศาสตร์ ในสำนักครูวิศวามิตร และเนื่องจากพระบิดาไม่ประสงค์ให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสดาเอกของโลก จึงพยายามทำให้เจ้าชายสิทธัตถะพบเห็นแต่ความสุข โดยการสร้างปราสาท 3 ฤดู ให้อยู่ประทับ และจัดเตรียมความพร้อมสำหรับการราชาภิเษกให้เจ้าชายขึ้นครองราชย์

          เมื่อมีพระชนมายุ 16 พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา หรือยโสธรา พระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา จนเมื่อมีพระชนมายุ 29 พรรษา พระนางพิมพาได้ให้ประสูติพระราชโอรส มีพระนามว่า "ราหุล" ซึ่งหมายถึง "บ่วง"


 ประวัติพระพุทธเจ้า : เสด็จออกผนวช

ประวัติพระพุทธเจ้า


          วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะทรงเบื่อความจำเจในปราสาท 3 ฤดู จึงชวนสารถีทรงรถม้าประพาสอุทยาน ครั้งนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช โดยเทวทูต (ทูตสวรรค์) ที่แปลงกายมา พระองค์จึงทรงคิดได้ว่า นี่เป็นธรรมดาของโลก ชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ จึงทรงเห็นว่าความสุขทางโลกเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น และวิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ คือต้องครองเรือนเป็นสมณะ ดังนั้นพระองค์จึงใคร่จะเสด็จออกบรรพชา ในขณะที่มีพระชนม์ 29 พรรษา
          ครานั้นพระองค์ได้เสด็จไปพร้อมกับนายฉันทะ สารถี ซึ่งเตรียมม้าพระที่นั่ง นามว่ากัณฑกะ มุ่งตรงไปยังแม่น้ำอโนมานที ก่อนจะประทับนั่งบนกองทราย ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ และเปลี่ยนชุดผ้ากาสาวพัตร์ (ผ้าย้อมด้วยรสฝาดแห่งต้นไม้) และให้นายฉันทะ นำเครื่องทรงกลับพระนคร ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่) ไปโดยเพียงลำพัง เพื่อมุ่งพระพักตร์ไปยังแคว้นมคธ


 ประวัติพระพุทธเจ้า : บำเพ็ญทุกรกิริยา

          หลังจากทรงผนวชแล้ว พระองค์มุ่งไปที่แม่น้ำคยา แคว้นมคธ ได้พยายามเสาะแสวงทางพ้นทุกข์ ด้วยการศึกษาค้นคว้าทดลองในสำนักอาฬารดาบส กาลามโครตร และอุทกดาบส รามบุตร แต่เมื่อเรียนจบทั้ง 2 สำนักแล้ว ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์

          จากนั้นพระองค์ได้เสด็จไปที่แม่น้ำเนรัญชรา ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม และทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ด้วยการขบฟันด้วยฟัน กลั้นหายใจและอดอาหาร จนร่างกายซูบผอม แต่หลังจากทดลองได้ 6 ปี ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา และหันมาฉันอาหารตามเดิม ด้วยพระราชดำริตามที่ท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมาดีดพิณถวาย 3 วาระ คือดีดพิณสายที่ 1 ขึงไว้ตึงเกินไปเมื่อดีดก็จะขาด ดีดพิณวาระที่ 2 ซึ่งขึงไว้หย่อน เสียงจะยืดยาดขาดความไพเราะ และวาระที่ 3 ดีดพิณสายสุดท้ายที่ขึงไว้พอดี จึงมีเสียงกังวานไพเราะ ดังนั้นจึงทรงพิจารณาเห็นว่า ทางสายกลางคือไม่ตึงเกินไป และไม่หย่อนเกินไป นั่นคือทางที่จะนำสู่การพ้นทุกข์
          หลังจากพระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ทำให้พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยา มหานามะ อัสสชิ ที่มาคอยรับใช้พระองค์ด้วยความคาดหวังว่าเมื่อพระองค์ค้นพบทางพ้นทุกข์ จะได้สอนพวกตนให้บรรลุด้วย เกิดเสื่อมศรัทธาที่พระองค์ล้มเลิกความตั้งใจ จึงเดินทางกลับไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ตำบลสารนาถ เมืองพาราณสี


 ประวัติพระพุทธเจ้า : ตรัสรู้

ประวัติพระพุทธเจ้า

          ครานั้นพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์ แม้จะมีหมู่มารเข้ามาขัดขวาง แต่ก็พ่ายแพ้พระบารมีของพระองค์กลับไป จนเวลาผ่านไปในที่สุดพระองค์ทรงบรรลุรูปฌาณ คือ ครานั้นพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์ แม้จะมีหมู่มารเข้ามาขัดขวาง แต่ก็พ่ายแพ้พระบารมีของพระองค์กลับไป จนเวลาผ่านไปในที่สุดพระองค์ทรงบรรลุรูปฌาณ คือ

          ยามต้น หรือปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ สามารถระลึกชาติได้

          ยามสอง ทางบรรลุจุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุญาณ) คือ รู้เรื่องการเกิดการตายของสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นไปตามกรรมที่กำหนดไว้

          ยามสาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ หรือกิเลส ด้วยอริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค และได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นศาสดาเอกของโลก ซึ่งวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ขณะที่มีพระชนม์ 35 พรรษา


 ประวัติพระพุทธเจ้า : แสดงปฐมเทศนา          หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาธรรมที่พระองค์ตรัสรู้มาเป็นเวลา 7 สัปดาห์ และทรงเห็นว่าพระธรรมนั้นยากต่อบุคคลทั่วไปที่จะเข้าใจและปฏิบัติได้ พระองค์จึงทรงพิจารณาว่า บุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวกอย่าง บัว 4 เหล่า ที่มีทั้งผู้ที่สอนได้ง่าย และผู้ที่สอนได้ยาก พระองค์จึงทรงระลึกถึงอาฬารดาบสและอุทกดาบส ผู้เป็นพระอาจารย์ จึงหวังเสด็จไปโปรด แต่ทั้งสองท่านเสียชีวิตแล้ว พระองค์จึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5 ที่เคยมาเฝ้ารับใช้ จึงได้เสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

          ธรรมเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงธรรมคือ "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่าสูตรของการหมุนวงล้อแห่งพระธรรมให้เป็นไป ซึ่งถือเป็นการแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชา

          ในการนี้พระโกณฑัญญะได้ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรมเป็นคนแรก พระพุทธองค์จึงทรงเปล่งวาจาว่า "อัญญาสิ วตโกณฑัญโญ" แปลว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้ว ท่านโกณฑัญญะ จึงได้สมญาว่า อัญญาโกณฑัญญะ และได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา โดยเรียกการบวชที่พระพุทธเจ้าบวชให้ว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"
          หลังจากปัญจวัคคีย์อุปสมบททั้งหมดแล้ว พุทธองค์จึงทรงเทศน์อนัตตลักขณสูตร ปัญจวัคคีย์จึงสำเร็จเป็นอรหันต์ในเวลาต่อมา


 ประวัติพระพุทธเจ้า : การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
          ต่อมาพระพุทธเจ้าได้เทศน์พระธรรมเทศนาโปรดแก่ยสกุลบุตร รวมทั้งเพื่อนของยสกุลบุตร จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด รวม 60 รูป

          พระพุทธเจ้าทรงมีพระราชประสงค์จะให้มนุษย์โลกพ้นทุกข์ พ้นกิเลส จึงตรัสเรียกสาวกทั้ง 60 รูป มาประชุมกัน และตรัสให้พระสาวก 60 รูป จาริกแยกย้ายกันเดินทางไปประกาศศาสนา 60 แห่ง โดยลำพัง ในเส้นทางที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อให้สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ในหลายพื้นที่อย่างครอบคลุม ส่วนพระองค์เองได้เสด็จไปแสดงธรรม ณ ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม
          หลังจากสาวกได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในพื้นที่ต่างๆ ทำให้มีผู้เลื่อมใสพระพทุธศาสนาเป็นจำนวนมาก พระองค์จึงทรงอนุญาตให้สาวกสามารถดำเนินการบวชได้ โดยใช้วิธีการ "ติสรณคมนูปสัมปทา" คือ การปฏิญาณตนเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัย พระพุทธศาสนาจึงหยั่งรากฝังลึกและแพร่หลายในดินแดนแห่งนั้นเป็นต้นมา


 ประวัติพระพุทธเจ้า : เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

ประวัติพระพุทธเจ้า


          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จโปรดสัตว์และแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดระยะเวลา 45 พรรษา ทรงสดับว่า อีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรินิพพาน จึงได้ทรงปลงอายุสังขาร ขณะนั้นพระองค์ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวลาสี แคว้นวัชชี โดยก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 1 วัน พระองค์ได้เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะทำถวาย แต่เกิดอาพาธลง ทำให้พระอานนท์โกรธ แต่พระองค์ตรัสว่า "บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ที่สุด มี 2 ประการ คือ เมื่อตถาคต (พุทธองค์) เสวยบิณฑบาตแล้วตรัสรู้ และปรินิพพาน" และมีพระดำรัสว่า "โย โว   อานนท   ธมม  จ วินโย มยา เทสิโต ปญญตโต  โส  โว  มมจจเยน  สตถา" อันแปลว่า  "ดูก่อนอานนท์  ธรรมและวินัยอันที่เราแสดงแล้ว  บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย  ธรรมวินัยนั้น  จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย  เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว"

          พระพุทธเจ้าทรงประชวรหนัก แต่ทรงอดกลั้นมุ่งหน้าไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธุ์ปรินิพพาน โดยก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานนั้น พระองค์ได้อุปสมบทแก่พระสุภัททะปริพาชก  ซึ่งถือได้ว่า "พระสุภภัททะ" คือสาวกองค์สุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงบวชให้ ในท่ามกลางคณะสงฆ์ทั้งที่เป็นพระอรหันต์ และปุถุชนจากแคว้นต่างๆ รวมทั้งเทวดา ที่มารวมตัวกันในวันนี้

          ในครานั้นพระองค์ทรงมีปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอจึงทำประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อื่นให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" (อปปมาเทน สมปาเทต) 
          จากนั้นได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 รวมพระชนม์ 80 พรรษา และวันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของพุทธศักราช


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 , learntripitaka.comwatsansai.igetweb.com
อ้างอิง


 

ผลไม้บอกนิสัย

 ผลไม้ อาหารของทุกเพศทุกวัย ใครๆ ก็ชื่นชอบ เชื่อว่าแต่ละคนต้องมีผลไม้สุดโปรดเป็นของตัวเองแน่ๆ มาดูกันดีกว่าว่าผลไม้จะทายนิสัยของคุณได้แม่นแค่ไหน...อย่างไร
      
กล้วย อุดมด้วยโพแทสเซียม คาร์โบไฮเดรต ย่อยง่าย ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะอาหาร และลำไส้
       สำหรับคนที่ชอบทานกล้วย ภายนอกดูจะเป็นคนเงียบขรึม แต่นิสัยจริงๆ คืออ่อนไหวง่าย ถ้าถูกใครพูดกระทบกระแทกหน่อยก็จะเก็บเอาไปคิดน้อยใจเสียใจ เป็นคนโอบอ้อมอารี มีเหตุผล รอบคอบ มองการณ์ไกล ชอบวางแผนอนาคตให้ตัวเองและคนที่อยู่รอบข้างเสมอ เป็นคนนิสัยรักสันโดษ เป็นคนที่มีจิตเป็นกุศล ชอบทำบุญแก่คนทุกข์ยาก
เงาะ  อุดมด้วยวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ใยอาหาร ป้องกันหวัด ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง บรรเทาอาการท้องร่วง
      
       สำหรับสาวๆ ที่ชอบกินเงาะจะเป็นคนค่อนข้างขี้เล่น สามารถทำให้คนรอบข้างมีความสุขได้ ถึงคุณจะขี้โม้ไปบ้างแต่เพื่อนๆ ก็ชอบในความร่าเริงสนุกสนานของคุณ
แตงโม   มีเบต้าแคโรทีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส ใยอาหาร บรรเทาอาการกระหายน้ำ บำรุงสายตา บำรุงไต บำรุงกระดูกและฟัน ขับคอเลสเตอรอล รักษาระดับน้ำตาลในเลือด เป็นของว่างจานโปรด
       สำหรับสาวใจกว้าง อ่อนโยน มีน้ำใจกับมิตรสหาย ซื่อสัตย์ไม่คิดทรยศ เป็นคนง่ายๆ มองโลกในแง่ดี จะไม่ค่อยโวยวายหรือคิดมากวิตกกังวล ตั้งอกตั้งใจทำงานดี แต่มักแพ้ภัยแก่เพศตรงข้าม และคนที่ชอบกินแตงโมจะเป็นคนที่รักใคร่เอ็นดูของเพื่อนฝูงอีกด้วย
มังคุด บรรเทาอาการร้อนใน รักษาโรคท้องร่วง มีใยอาหารสูงช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ
       เหมาะสำหรับคนที่เก็บเนื้อเก็บตัว ช่างฝันและมีอารมณ์โรแมนติก อ่อนไหวง่าย รักใครได้ง่ายๆ และเก็บเอาไปนึกคิดคนเดียว แต่ไม่นานก็ลืมเอาดื้อๆ แล้วก็ไปหลงคนอื่นต่อไปเรื่อยเปื่อย พูดง่ายๆ คือเป็นผลไม้สำหรับคนเจ้าชู้ไงจ๊ะ
ลองกอง เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก เปลือกมีน้ำมันชันใช้เป็นยารักษาอาการท้องร่วง และเผาไล่ยุงได้
        พวกที่ยึดเอาลองกองเป็นอาหารหลัก เป็นคนรักสันโดษ ชอบเดินทาง ชอบการผจญภัยในที่ที่ตนเองไม่เคยไป อนุรักษ์นิยม
ลำไย   อุดมด้วยน้ำตาล วิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ใยอาหาร บำรุงร่างกาย บรรเทาอาการอ่อนเพลีย บำรุงเลือด บำรุงกระดูกและฟัน
       คนชอบทานผลไม้เม็ดเล็กชนิดนี้มักเป็นคนปากหวาน ชอบประจบประแจง ใช้คำพูดยกยอคนให้หลงปลื้ม แต่มักเป็นคนชอบนินทาว่าร้ายคนอื่นลับหลัง
สตรอเบอรี่   ในตำรายาสมุนไพร เชื่อกันว่าสตรอเบอรี่ มีสรรพคุณรักษานิ่วในไต บรรเทาอาการโรคข้ออักเสบ โรคเกาต์ และโรครูมาติซึม
       ถ้าชอบทานสตรอเบอรี่ บอกได้เลยว่าคุณเป็นสาวคุยสนุก มีอารมณ์ขัน ทำให้คนอื่นหัวเราะได้ตลอดเวลา เป็นที่ต้องการของเพื่อนๆ ในกลุ่ม และเมื่อจะพูดคุยหรือทำอะไรก็ต้องมีคนดู คนฟัง และค่อนข้างมีรสนิยมทีเดียว
มะม่วง   มีวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี ฟอสฟอรัส ใยอาหาร ช่วยบำรุงสายตา บำรุงเหงือกและฟัน ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ลดสิว และริ้วรอยก่อนวัย ลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปากมดลูกและลำไส้ใหญ่
       คนที่ชอบทานมะม่วงเป็นคนคล่องตัว ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบลองของใหม่ๆอยู่เสมอ และเป็นคนที่ออกจะเจ้าชู้

ข้อมูลจาก  ผู้จัดการออนไลน์
 อ้างอิง
http://www.meemodel.com/success_stories/show_success_stories.php?newsid=98




ประวัติัวัยรุ่นพันล้าน

ต๊อบ อิทธิพัทธ์
ต๊อบ อิทธิพัฒน์ เจ้าของเถ้าแก่น้อย

Top Secret วัยรุ่นพันล้าน

Top Secret วัยรุ่นพันล้าน 


ตัวอย่าง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน 


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์GTH

          หลายคนอาจจะได้ดูตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง "TOP SECRET วัยรุ่นพันล้าน" กันมาแล้ว ด้วยตัวอย่างที่น่าติดตามต่างจากภาพยนตร์วัยใสทั่วไป เพราะภาพยนตร์ดังกล่าวนั้นมีแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง!! ของเด็กหนุ่มที่ติดเกมออนไลน์... เรียนหนังสือไม่เก่ง แถมถูกประณามว่าเป็นเด็กไม่เอาไหน แต่ใครจะรู้ว่าเขาคนนั้นจะกลายมาเป็นเศรษฐีร้อยล้านเพียง อายุแค่ 23 ปีเท่านั้น (เขาร้อยล้านตอนอายุ 23 แต่ตอนนี้ 26 แล้วอ่า) !

          นั่นแน่... อยากรู้กันแล้วใช่ไหมว่าเขาคนนั้นคือใคร แล้วทำไมเขาถึงกลายเป็นเศรษฐีได้ในเวลาอันสั้น ไปทำความรู้จักกับ "ต๊อบ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์" เจ้าของธุรกิจสาหร่ายทอดกรอบแบรนด์"เถ้าแก่น้อย" กันเลย

         ต๊อบ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ เศรษฐีร้อยล้านคนนี้ ก่อนหน้านี้เขาถูกตราหน้าว่าเป็นคนไม่เอาถ่าน ไม่สนใจเรียน ชีวิตของ ต๊อบ มีแต่คำว่า "เกม" เท่านั้น โดยต๊อบเริ่มเล่นเกมออนไลน์ Everquest มาตั้งแต่ ม.4 ถึงขนาดสะสมแต้มจนรวยที่สุดในเซิร์ฟเวอร์ และกลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในเกมดังกล่าว จนมีฝรั่งมาขอซื้อไอเท็มเด็ด ๆ ไอเท็มเจ๋ง ๆ ที่หายากในเกมจากเขา และนั่นก็เป็นการเริ่มต้นสร้างรายได้ของต๊อบ ซึ่งการซื้อขายไอเท็มเกมดังกล่าว บวกกับการที่เป็นผู้ทดสอบระบบเกมในฐานะคนเล่น ก็สร้างรายได้ให้เขาเป็นกอบเป็นกำ จนมีเงินเก็บเป็นหลักแสนบาทเลยทีเดียว
      
        ด้วยความที่เป็นเด็กติดเกม ต๊อบ อิทธิพัทธ์ จึงเรียนจบชั้นระดับมัธยมมาได้อย่างยากลำบาก และเรียนต่อระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งตอนนั้นนั่นเองเขาก็เริ่มก้าวเข้าสู่ถนนแห่งเส้นทางธุรกิจ พร้อมตั้งใจจะทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงด้วยการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง


ต๊อบ อิทธิพัทธ์
ต๊อบ อิทธิพัฒน์ เจ้าของเถ้าแก่น้อย

        และในช่วงจังหวะที่เกมออนไลน์เริ่มไม่เป็นที่นิยมเหมือนเคย เขาก็หารายได้จากช่องทางอื่น ทั้งขายเครื่องเล่นวีซีดี ดูทำเลเปิดร้านกาแฟหน้ามหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่เป็นที่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งเขาได้ไปเดินงานแฟร์ช่องทางธุรกิจ ซึ่งในงานนั้นมีเฟรนไชส์จากประเทศญี่ปุ่นมาออกบู๊ท ด้วยความที่เขาเป็นคนชอบกินเกาลัดอยู่แล้ว เลยสนใจธุรกิจนี้เป็นพิเศษ จึงเข้าไปสอบถามค่าเฟรนไชส์เกาลัดดังกล่าว แต่ทว่าราคาสูงเกินกำลังที่เขามี เลยขอแค่เช่าตู้คั่วเกาลัดเท่านั้น แล้วมาสร้างเฟรนไชส์เป็นของตัวเอง และเมื่อวันที่เขาต้องไปเซ็นสัญญาซื้อขายเกาลัดที่ห้างแห่งหนึ่ง ก่อนออกจากบ้านเขาได้ยินคุณพ่อพูดกับเพื่อนว่า "ลูกอั้วกำลังจะเป็นเถ้าแก่น้อยแล้ว" คำว่าเถ้าแก่น้อยที่ได้ยินตอนนั้นนั่นเอง ที่เป็นที่มาของชื่อ "เถ้าแก่น้อย" สาหร่ายทอดกรอบในปัจจุบัน

        เศรษฐีร้อยล้าน ได้ใช้เวลาเพียงแค่ปีกว่า ๆ ขยายเฟรนไชส์เกาลัดเถ้าแก่น้อย ได้กว่า 30 สาขา และเมื่อเขาเห็นว่า เฟรนไชส์ของเขาขายได้หลายแห่งแล้ว เขาจึงคิดจะทำสินค้าอื่นเพิ่มเติม จึงลองนำอย่างอื่นมาวางขายในร้าน ไม่ว่าจะเป็น เกาลัด ลูกท้อ ลำไยอบแห้ง และสาหร่าย แต่สินค้าที่ขายดีที่สุดในตอนนั้นกลับไม่ใช่เกาลัด แต่กลายเป็นสาหร่ายทอดกรอบ ซึ่งนั่นเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาอยากต่อยอดธุรกิจในการทำสาหร่ายทอดตรา "เถ้าแก่น้อย" อย่างจริงจัง 

        หลังจากนั้นเขาก็พยายามศึกษา หาความรู้เกี่ยวกับสาหร่าย และได้ลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้ง โดยเริ่มจากบรรจุซองพลาสติกไปฝากตามร้านค้าต่าง ๆ แต่ก็มีอุปสรรคมากมาย ทั้งสินค้าหมดอายุไว รูปแบบแพ็กเกจจำหน่ายไม่สวย จึงทำให้เขากลับมานั่งคิดอีกครั้งว่า จะทำอย่างไรให้สินค้าเก็บไว้ได้นาน มีแพ็คเกจที่น่าสนใจ และสามารถขายในร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 ได้

       แต่พรสวรรค์ทางการตลาดของเขาก็ได้จุดประกายความคิดอีกครั้ง เขาได้นำกระแสเกาหลี กระแสญี่ปุ่น เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ โดยอยากให้ผู้บริโภคจดจำสินค้าของ เขาได้ทันทีที่แรกเห็น เขาจึงทำโลโก้เป็นเด็กน่ายิ้ม ดูน่ารัก มีความสุข อีกทั้งถือธงเพื่อให้รู้ว่า ถึงจะเป็นของกินเล่นแต่มีคุณค่าทางอาหารสูง รวมไปถึงเพิ่มรสชาติต่าง ๆ ให้หลากหลาย ตอบรับความต้องการของแต่ละคน


ต๊อบ อิทธิพัทธ์
ต๊อบ อิทธิพัฒน์ เจ้าของเถ้าแก่น้อย

        และเมื่อเขาได้ปรับปรุงสินค้าเรียบร้อยแล้ว เขาจึงนำสาหร่ายเถ้าแก่น้อยไปเสนอแก่ 7-11 อีกครั้ง และจากนั้นก็ได้รับการติดต่อกลับมาในทันทีว่า "ภายใน 3 เดือน สินค้าคุณพร้อมจะวางขายในร้าน 7-11 จำนวน 3,000 สาขาทั่วประเทศ หรือไม่" เมื่อได้ยินดังนั้น คำถามก็ประดังประเดเข้ามาในหัวของเขาว่า เขาต้องทอดสาหร่ายกี่แผ่น ใช้คนทอดกี่คน และจะทำทันหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นมีคำถามอยู่เต็มหัวไปหมด แต่เขาก็ตอบกลับ 7-11 ไปเกือบจะทันทีว่า พร้อมครับ!!!

        หลังจากที่ ต๊อบ อิทธิพัทธ์ ตอบตกลงไปแล้ว เขาก็ต้องกับมานั่งกุมขมับ กับปัญหา และสิ่งที่ตามมาทั้งการสร้างโรงงาน เงินทุน แหล่งวัตถุดิบ การนำเข้าเครื่องจักรต่าง ๆ เพื่อผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน พร้อมส่งขายแก่ 7-11 กว่า 3,000 สาขา ในระยะเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น...  เขาจึงเดินหน้าด้วยการเริ่มต้นหาทุนสร้างโรงงาน โดยการไปขอกู้ยืมจากธนาคารแห่งหนึ่ง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธกลับมา นั่นเป็นเพราะว่า ในตอนนั้นเขามีอายุเพียง 20 ปี เท่านั้น และเมื่อเขากู้เงินไม่ผ่าน เขาจึงยอมตัดใจขายธุรกิจเฟรนไชส์เกาลัดทิ้ง ซึ่งเฟรนไชน์กว่า 30 สาขาดังกล่าว สร้างรายได้ให้เขาเดือนละกว่าล้านบาทเลยทีเดียว แต่กว่าที่เขาจะตัดสินใจขายเฟรนไชส์แรกที่เขาปลุกปั้นมากับมือ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและสำคัญต่อจิตใจของเขามาก แต่เขาก็ต้องขายด้วยความเสี่ยง เพราะเขาไม่รู้เลยว่า ธุรกิจสาหร่ายนั้น จะดีเท่ากับธุรกิจเกาลัดหรือไม่


ต๊อบ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์

ต๊อบ อิทธิพัฒน์ เจ้าของเถ้าแก่น้อย

        ในขณะที่ธุรกิจกำลังก้าวหน้า ต๊อบ อิทธิพัทธ์ ได้ตัดสินใจดร๊อปเรียนไว้ตอนปี 1 เพื่อนำเวลามาทำธุรกิจส่วนตัวอย่างเต็มตัว ส่วนทางด้านเงินที่ขายเฟรนไชส์เกาลัด ก็นำมาลงทุนกับสาหร่ายทั้งหมด โดยการสร้างโรงงานผลิตสาหร่ายทอด ซึ่งมีพนักงานก็คือครอบครัวของเขาทุกคน และคนงานอีกเพียงแค่ 6-7 คนเท่านั้น ทุกคนทำงานอย่างหนัก ยิ่งช่วงใกล้ส่งสินค้าให้กับทาง 7-11 ครอบครัวและคนงานของเขา แทบไม่ได้หลับได้นอน ทอดสาหร่าย และบรรจุภัณฑ์ แต่ก็สำเร็จ เขาสามารถบรรทุกสาหร่ายเถ้าแก่น้อยเต็มคัน ขับไปส่งศูนย์จำหน่าย  7-11 ได้สำเร็จ

        จากนั้นเป็นต้นมา สาหร่าย "เถ้าแก่น้อย" ก็ทะยานสู่ตลาดวัยรุ่น และผู้บริโภคที่ชื่นชอบสาหร่ายทอดกรอบได้สำเร็จ ส่วน ต๊อบ ก็กลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มใหม่ไฟแรง เปลี่ยนสถานะจากเศรษฐีร้อยล้าน กลายเป็นเศรษฐีพันล้านได้อย่างสำเร็จ

          ส่วนเรื่องการเรียนของ ต๊อบ อิทธิพัทธ์ นั้น ตอนนี้เขามีวุฒิการศึกษาสูงสุดเพียงแค่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้น ซึ่งตอนนี้เขาก็ได้ลงเรียนอีกครั้งที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งแม้ว่าเขาจะเชื่อว่า ประสบการณ์ไม่ได้มาจากทฤษฎีในห้องเรียน แต่มันมาจากการลงมือปฏิบัติก็ตาม แต่ที่เขาเรียนนั่นก็เพื่ออยากจะให้พ่อแม่ได้ภูมิใจ และอยากถ่ายรูปรับปริญญาร่วมกับครอบครัวเพียงเท่านั้น...


ต๊อบ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์
ต๊อบ อิทธิพัฒน์ เจ้าของเถ้าแก่น้อย

ประวัติ ต๊อบ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์

          ชื่อ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์
          ชื่อเดิม ต่อพงศ์ กุลพงษ์วาณิชย์
          ชื่อเล่น ต๊อบ
          อายุ 26 ปี

การศึกษา

          อนุบาล-ประถมศึกษา โรงเรียนปานะพันธ์วิทยา
          มัธยมศึกษาตอนต้น เซนต์ฟรังซีสเซเวียร์ เมืองทองธานี
          มัธยมศึกษาตอนปลาย สวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี
          ระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยหอการค้า คณะบริหาร (ไม่จบ)

ปัจจุบัน

          เป็นเจ้าของกิจการสาหร่ายเถ้าแก่น้อย
อ้างอิง
http://hilight.kapook.com/view/63170



ความแตกต่างโดยพื้นฐานที่สุดของสังคมอินเดีย แยกออกเป็น 2 ส่วน คือ อารยัน (Aryans) และ ดราวิเดียน (Dravidians) โดยที่เป็นชาวอารยับเกือบ 72 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ชาวดราวิเดียนมีแค่ 28 เปอร์เซ็นต์ ชาวอินเดียตอนเหนือนั้นสืบเชื้อสายมาจากอารยัน ขณะที่ชาวอินเดียตอนใต้สืบเชื้อสายจากดราวิเดียน ภาษาพูดในรัฐ 5 แห่งทางตอนใต้ของอินเดียถือว่าเป็นภาษาดราวิเดียน ส่วนภาษาที่ใช้พูดกันมากที่สุดทางตอนเหนือก็ถือว่าเป็นภาษาอารยัน อีกทั้งตัวอักษรโดยทั่วไปในภาษาอารยันจะแตกต่างจากตัวอักษรของชาวดราวิเดียน และชาวอินเดียก็ยังแบ่งแยกตนเองด้วยสำเนียงภาษาของทางเหนือและทางใต้อีกด้วย
ตามตำนานที่เล่าขานกันโดยทั่วไปของอินเดียกล่าวว่า ชาวอารยันเข้าสู่อินเดียทางตอนเหนือ จากที่ใดที่หนึ่งในอิหร่านหรือทางใต้ของรัสเซียในราว 1500 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนที่ชาวอารยันจะเข้ามานั้นมีชาวดราวิเดียนอาศัยอยู่ในอินเดียมาก่อน ชาวอารยันไม่สนใจวัฒนธรรมท้องถิ่น พวกเขาเข้ายึดและควบคุมดินแดนทางตอนเหนือของอินเดียไว้ได้ทั้งหมด และในขณะเดียวกันก็ผลักดันให้คนท้องถิ่นถอยร่นลงไปทางใต้ หรือไปยังพื้นที่ป่าและภูเขาทางตอนเหนือ จากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์นี้ทำให้สังคมพื้นฐานของอินเดียแบ่งแยกออกเป็นสองส่วนดังกล่าว ชาวอินเดียทางตอนเหนือคือ พวกอารยัน และชาวอินเดียทางตอนใต้คือ พวกดราวิเดียน แต่การแบ่งแยกนี้ก็มีความไม่เหมาะสมเนื่องจากเหตุผลหลายๆ ประการ
เนื่องเพราะชาวอินเดียจำนวนมากอพยพจากส่วนหนึ่งของอินเดียไปยังส่วนต่างๆ ไม่ใช่คนท้องถิ่นทั้งหมดจากตอนเหนือถูกผลักดันลงมาทางใต้โดยพวกอารยัน บางส่วนยังคงอยู่และรับใช้ชาวอารยัน และส่วนอื่นๆ ก็เคลื่อนย้ายไปอาศัยในป่า และป่าทึบของทางเหนือ ก่อนที่ชาวอารยันจะเข้ามาก็ยังมีกลุ่มชนอื่น อาศัยอยู่ในอินเดียด้วย เช่น ชิโน-มองโกลอยด์ และออสตราลอยด์ ทั้งยังมีผู้อพยพและผู้บุกรุกชาวต่างชาติอื่นๆ เข้ามาในอินเดียเป็นบางครั้งคราว
มีคนจำนวนมากสงสัยอย่างยิ่งว่ามีชาวอารยันกลุ่มใดบ้างที่เคยบุกรุกเข้ามาในอินเดีย ความสงสัยนี้มาจากพื้นฐานข้อมูลในด้านช่วงเวลาที่ชาวอารยันบุกรุกเข้ามาในอินเดีย และข้อเท็จจริงที่ว่าศาสนาฮินดูและระบบวรรณะเชื่อว่าเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการพบกันระหว่างชาวอารยันที่บุกรุกเข้ามาและชาวดราวิเดียนชนท้องถิ่นดั้งเดิมของอินเดีย
ระบบวรรณะเชื่อว่าสร้างขึ้นโดยชาวอารยัน ชนผิวขาวชาวอารยันผู้ที่เข้าครอบครองพื้นที่ส่วนต่างๆ ของอินเดียได้สร้างระบบวรรณะขึ้น ที่ยินยอมให้แต่เพียงพวกตนเท่านั้นที่เป็น พระ (พราหมณ์ – Brahman) ชนชั้นปกครอง (กษัตริย์ – Kshatria) และ พ่อค้า (แพศย์ – Vasia) ในสังคม ต่ำลงมากว่านี้เป็นพวก ศูทร (Sudra) ซึ่งประกอบด้วยสองกลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งเป็นคนท้องถิ่นผู้ที่ถูกพิชิตโดยชาวอารยัน และอีกกลุ่มเป็นผู้ที่สืบเชื้อสายจากอารยันกับคนท้องถิ่นดราวิเดียน
เรื่องราวในศาสนาฮินดูกล่าวถึงสงครามหลายครั้งระหว่างชาวอารยันที่เป็นฝ่ายธรรมะกับมารร้ายผิวดำที่เป็นฝ่ายอธรรม  เทพเจ้าต่างๆ ก็มักจะมีทาสผิวดำเป็นผู้รับใช้ มีเรื่องราวเกี่ยวกับปีศาจสตรีที่พยายามใช้วิธีล่อลวงยั่วยวนบุรุษฝ่ายธรรมะชาวอารยันให้มาหลงใหล ทั้งยังมีการแต่งงานกันระหว่างฮีโรชาวอารยันและปีศาจสตรี หลายๆ คนเชื่อว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งเทพเจ้าหรือฮีโร่ผู้มองโลกในแง่ดีนั้นมีพื้นฐานเป็นชาวอารยัน และปีศาจ มารร้าย และทาสผิวดำแท้ที่จริงก็คือชนท้องถิ่นดั้งเดิมของอินเดีย ผู้ที่ชาวอารยันปั้นแต่งให้เป็นอสูรร้าย มารร้าย ปีศาจ และทาส โดยทั่วไปแล้วช่วงเวลาที่ระบุว่าชาวอารยันบุกรุกเข้ามาอยู่ในราว 1500 ปีก่อนคริสตกาล แต่ผู้เชี่ยวชาญในศาสนาฮินดูกล่าวว่า บางเหตุการณ์ในศาสนาฮินดูเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นมาก บางสงคราม เช่น มหาสงครามใน มหากาพย์ภารตะ เชื่อว่าเกิดขึ้นราว 7000 ปีมาแล้ว
ตามคำกล่าวของผู้เชี่ยวชาญชาวฮินดูท่านนี้ เห็นว่า คำว่า อารยัน (Aryan) เป็นการแปลความหมายที่ผิดจากคำสันสกฤตดั้งเดิมที่มาจากคำว่า อารยะ (Arya) ซึ่งคำนี้หมายถึง บริสุทธิ์ หรือ ดี ในภาษาสันสกฤต และในคัมภีร์พระเวทย์อันศักดิ์สิทธิ์คนดีก็ถูกเรียกว่า อารยะ นักวิชาการชาวยุโรปบางท่านที่ศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมอินเดียในคริสตศตวรรษที่ 19 ก็เป็นชาวเยอรมัน ซึ่งนักวิชาการเยอรมันเหล่านี้เป็นผู้ค้นพบว่า สวัสดิกะ (Swastika) ยังเป็นสัญลักษณ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ในหมู่ชาวฮินดูที่ถูกบิดเบือนจากคำว่า อารยะ เป็น อารยัน
แปลจาก “Aryans and Dravidians – A controversial issue”
http://adaniel.tripod.com/aryans.htm
Picture courtesy:
http://www.stormfront.org/forum/t554833-12/
http://www.stormfront.org/forum/t384889-24/
อ้างอิง
http://learningpune.com/?p=5088  เรียนอินเดีย-ปูเณ่


หลายๆ ท่านที่ได้ชมภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวร คงจะแปลกใจไม่ใช่น้อยกับกลุ่มชนเผ่าที่เข้ามาลอบสังหารพระองค์ ว่าชนเผ่านี้มีจริงหรือไม่  เท่าที่ได้ชมภาพยนตร์ถ้าไม่บอกกล่าวว่า ชนเผ่านี้คือชนเผ่านักล่าหัวมนุษย์แล้ว เราๆ ท่านก็คงนึกไม่ออกว่า พวกเขาเหล่านั้นคือเผ่าอะไร และมาจากไหน?
เอาล่ะเราลองมาดูกันว่า ชนเผ่านี้มีที่มาอย่างไร และอยู่ที่ไหนในปัจจุบัน?
“นากา” คือชื่อชนเผ่าหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในประเทศอินเดียทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ และรวมไปถึงประเทศพม่าด้วย
คำว่า “นากา” หลายๆคนยังถกเถียงกันว่ามีหมายหมายอย่างไร และเป็นคำของภาษาใด แต่ที่แน่ๆแล้ว ภาษาที่ชาวนากาใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นภาษาที่อยู่ในตระกูล Tibeto-Burman languages group  ในภาษาพม่า “นากา” หมายถึงพวกที่นิยมเจาะหูเจาะจมูก แต่ในทางกลับกัน ในภาษาฮินดีแล้ว “nanga” หมายถึง “เปลือย”
พวกชนเผ่านากานั้นที่อยู่ในประเทศอินเดียนั้น อาศัยอยู่ รัฐมณีปุระ รัฐอรุณาจัลประเทศ และรัฐอัสสัม  และที่อยู่นอกประเทศอินเดียก็อาศัยอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดนของอินเดีย และประเทศพม่า
ในอดีตชนเผ่านากามีชื่อเสียงมากในเรื่องการล่าหัวมนุษย์ และในปัจจุบันถึงแม้จะล้มเลิกไปแล้วถึงประเพณีดังกล่าว แต่ก็ยังคงหลงเหลือกะโหลกมนุษย์ไว้ให้ดูเป็นจำนวนมาก
ในอดีตแล้วชนเผ่านากานั้นเป็นรัฐที่เป็นอิสระไม่ขึ้นตรงต่อประเทศใด แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศอินเดียได้ส่งกำลังทหารเข้าบุกยึดและทำการผนวกดินแดนของชนเผ่านากาให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอินเดีย
ในปัจจุบันชาวอินเดียที่มาจากแถบตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียในแถบดินแดนของพวกชนเผ่านากา ในแถบ นากาแลนด์ มิโซรัม อรุณาจัล มณีปุระ ชาวอินเดียพวกนี้ จะถูกดูถูกว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง ด้วยเหตุผลที่ว่าหน้าตาไม่เหมือนพวกตน คือ พวกสืบเชื้อสายมาจากพวกชนเผ่าอินโดอารยัน ซึ่งมักทะนงตนว่าตัวเองเป็นผู้ชนะและมีวัฒนธรรมเหนือกว่า
คนไทย เนปาล และทิเบต ก็ถือว่าโดนดูถูกจัดอยู่ในประเภทนี้ด้วยเช่นกัน อันนี้แสดงให้เห็นถึงความคับแคบและการปลูกฝังอย่างผิดๆ และที่ขึ้นชื่ออย่างมากในความคับแคบ ก็คือ คนในรัฐมหาราชฎระ ที่มักดูถูกคนต่างชาติ และต่างรัฐด้วยประหนึ่งว่าตนเองอยู่ในรัฐที่เจริญกว่าที่อื่นๆ ในอินเดีย และบางครั้งเลยเถิดไปว่าตัวเองดีที่สุดในโลก
โดยบางครั้งถึงกับออกปากพูดจาไล่คนต่างชาติเลยทีเดียว แต่เท่าที่พบส่วนมากจะเป็นพวกที่มีวิสัยทัศน์แคบ และไม่จำกัดในเรื่องการศึกษาเสียด้วย เพราะการศึกษากับวิสัยทัศน์ มันคนละเรื่องกัน
จากประสบการณ์จริงของผู้เขียน ชาวอินเดียที่มาจากตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียนี่ล่ะ น่าคบหามากกว่าชาวอินเดียทั่วไป  เพราะด้วยเหตุที่วัฒนธรรมค่อนข้างใกล้เคียงกัน และนิสัยใจคอของพวกเขาจะคล้ายๆ คนไทย
นอกเรื่องไปเยอะ เรามาดูภาพชนเผ่านากา ความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมกัน
อ้างอิง
http://learningpune.com/?p=5353 เรียนอินเดีย-ปูเณ่


เชนชู (Chenchu) เป็นชนเผ่าดั้งเดิมของอินเดียที่อาศัยอยู่ในป่าทึบ บริเวณเทือกเขาทางตอนกลางของรัฐอานธรประเทศ ปัจจุบันถูกจำกัดให้อยู่ในเขตนาลลามาไลย (Nallamalai) โดยเฉพาะในอำเภอมหาบูบนาการ์ (Mahabubnagar) นาลกอนดา (Nalgonda) ปรากชัม (Praksham) กุนตูร์ (Guntur) และกูร์นูล (kurnool)
ชาวเชนชู มีรูปร่างเตี้ย ผอมบาง ผิวคล้ำ ผมหยิกเป็นลอน ศีรษะยาว ใบหน้ากว้าง คิ้วเข้ม จมูกแบน มีผมหยิกม้วน ครอบครัวของชาวเชนชูเป็นครอบครัวเดี่ยว ประกอบด้วยพ่อ แม่ และลูก ซึ่งสามีภรรยามีสิทธิเท่าเทียมกัน
ที่อยู่อาศัยของพวกเขามีลักษณะเป็นกระท่อมมุงจาก ผนังเป็นไม้ขัดแตะ ชาวเชนชูสร้างกระท่อมอยู่รวมกันเป็นหมุ่บ้านที่เรียกว่า เปนตา (Penta) แต่ละเปนตาประกอบด้วยกระท่อมไม่กี่หลัง ตั้งเป็นกลุ่มตามตระกูล เครือญาติกันจะตั้งกระท่อมอยู่ใกล้เคียงกัน ส่วนมากพวกเขาจะอาศัยอยู่ประจำในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ส่วนในฤดูร้อนจะย้ายออกไปอยู่ในที่โล่ง
ชาวเชนชู เป็นชนเผ่าดั้งเดิมที่ยังมีชีวิตพึ่งพาอาศัยป่าเป็นแหล่งอาหารหลัก พวกเขาไม่ทำเกษตรกรรม แต่ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์หาของป่า และก็มีสัมพันธภาพอันดีกับชนพื้นราบ พวกเขาเคลื่อนย้ายเป็นกลุ่มเพื่อหาอาหาร เช่น ผลไม้ รากไม้ หัวเผือกหัวมัน น้ำผึ้ง มะขาม ดอกมาฮัว (mahua) เพื่อนำมาขายในตลาดท้องถิ่น รวมทั้งยังทำจานและถ้วยจากใบยาสูบ ทั้งยังนำดอกมาฮัวมาทำเป็นสุราขายในตลาดอีกด้วย
เนื่องจากอาศัยอยู่ในป่าพวกเขาจึงเป็นนักล่าที่เชี่ยวชาญในการล่ากวาง หมูป่า กระต่าย ไก่ป่า หนู และนก โดยใช้ธนูและลูกศรเป็นอาวุธ แต่เนื่องจากข้อจำกัดของแหล่งอาหารในปัจจุบัน ทำให้ล่าได้แต่สัตว์ขนาดเล็กเท่านั้น
ชาวเชนชู มีภาษาพูดของตนเอง ที่เรียกว่า ภาษาเชนชู ซึ่งเป็นภาษาหนึ่งในสาขาภาษาเตเลกู (Telegu) ในตระกูลภาษาดราวิเดียน ภาษาเชนชู (Chenchu) บ้างก็เรียก เชนชูคูลาม (Chenchucoolam) เชนชวาร์ (Chenchwar) เชนสวาร์ (Chenswar) หรือ ชนชารู (Choncharu)
ในด้านความเชื่อชาวเชนชูนับถือเทพเจ้าหลายองค์เช่นเดียวกับชาวฮินดู แต่เทพหลักที่พวกเขานับถือคือ ภคบันตารู (Bhagaban taru) ผู้อาศัยอยู่บนท้องฟ้าและดูแลชาวเชนชูทั้งมวล เทพอีกองค์ที่พวกเขาบูชาคือ เทวีกาเรลาไมซามา (Garelamai Sama) เทพีแห่งป่า เชื่อกันว่าพระนางจะคอยปกป้องพวกเขาจากอันตรายต่างๆ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในป่าทึบ ส่วนมากเป็นเทพแห่งป่าเขาและการรักษาโรค เนื่องจากชีวิตของพวกเขาสัมพันธ์กับป่า และพวกเขายังรับเอาเทพเจ้าฮินดูมานับถือด้วย
โดยลักษณะนิสัยของชาวเชนชูที่ชอบอิสระและเสรีภาพ ทำให้พวกเขาไม่ชอบถูกจำกัดอยู่ในถิ่นที่อยู่ใดโดยเฉพาะ ความสามารถในการเคลื่อนย้ายจากกลุ่มหนึ่งไปยังกลุ่มอื่นๆ ทำให้หนุ่มและสาวชาวเชนชูมีอิสระในการเลือกคู่ครองที่ตนอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย
ปัจจุบันถิ่นที่อยู่และที่หากินของชาวเชนชู ได้รับการประกาศให้เป็นเขตสงวนพันธุ์เสือ และรัฐบาลพยายามอย่างหนักที่จะเปลี่ยนแปลงพวกเขาให้หันมาทำเกษตรกรรมแทนการล่าสัตว์หาของป่าเหมือนเมื่อก่อน แต่ชาวเชนชูก็ปฏิเสธที่จะออกจากป่า และต่อสู้เพื่อรักษาวิถีชีวิตตามแบบเดิมของตน เพราะชาวเชนชูไม่ค่อยสนใจเรื่องเงินทองและความมั่งคั่ง มากไปกว่าอิสระและเสรีภาพในการดำรงชีพตามวิถีของตน
Information courtesy:

ชาวจักม่า (Chakma) เป็นเผ่าพันธุ์มองโกลอยด์ที่มีความเกี่ยวดองกับประชาชนทางตะวันตกเฉียงใต้ของพม่า จักม่า เป็นชนเผ่าที่ใหญ่ที่สุดที่พบในบริเวณเชิงเขาทางตะวันออกของบังคลาเทศที่เรียกว่า เขาจิตตากอง (Chittagong Hill Tracts) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวเขาที่กั้นระหว่างพม่าและทางตะวันออกของอินเดีย ภูมิประเทศแถบนี้มีอากาศอบอุ่น ชื้น และมีฝนตกชุกในฤดูมรสุม
ชื่อของพวกเขาปรากฏครั้งแรกโดยผู้ทำการสำมะโนประชากรชาวอังกฤษ ที่บรรยายถึงชนชาวเขาบางกลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณเขาจิตตากอง เมื่ออังกฤษออกไปจากอินเดียในปี ค.ศ 1947 อินเดียต้องแยกออกเป็นสองประเทศคือ อินเดีย และปากีสถาน ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณนี้คาดหมายว่าจะได้เป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย แต่กลับถูกแบ่งแยกเป็นของปากีสถาน ทำให้เกิดความไม่พอใจ เพราะประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวจักม่า ที่นับถือพุทธศาสนา และมีความรู้สึกคล้ายคลึงทางวัฒนธรรมกับชาวฮินดูมากกว่าชาวมุสลิมในปากีสถาน
ประชากรจักม่าคาดว่ามีประมาณ 550,000 คน ส่วนใหญ่ราว 300,000 ตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เขาจิตตากอง ประเทศบังคลาเทศ ประมาณ 80,000 คน อาศัยอยู่ในรัฐมิโซรัม (Mizoram) และตรีปุระ (Tripura) และอีก 20,000 คนอยู่ในพม่า ชาวจักม่าพูดภาษาถิ่นเบงกอลี (Bengali) และใช้ตัวอักษรมาตรฐานของเบงกอลี
ผู้นำของชาวจักม่าเรียกว่า เดวัน (Dewan) ชาวบ้านจะเชื่อฟังดาวันและขอคำแนะนำจากเขากรณีเกิดวิกฤติการณ์ขึ้นในชุมชน ชาวจักม่ามีสภาหมู่บ้าน ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นผู้ใหญ่และหัวหน้าของพวกเขา มีหน้าที่แก้ไขปัญหากรณีพิพาทในชุมชน ข้อขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ และกรณีลักขโมยเล็กน้อยในชุมชน ส่วนที่เป็นข้อขัดแย้งสำคัญ ส่วนคดีอาชญากรรม จะตัดสินโดยผู้ที่มีอำนาจสูงทีเรียกว่าการ์บารี (Karbari) เป็นสมาชิกผู้ทรงเกียรติที่รับเลือกมาโดยชาวบ้าน
ตำนานของชาวจักม่า กล่าวว่าสืบสายมาจากอาณาจักรเก่าแก่ที่เรียกว่า จำปักนคร (Champaknagar) พระโอรสองค์หนึ่งของกษัตริย์แห่งนครนี้ได้ยกทัพขนาดใหญ่ไปทางตะวันออกด้วยความหวังที่จะพิชิตแผ่นดินแห่งใหม่ ทรงข้ามทะเล Meghna และยึดได้อาณาจักร อารกัน (Arakan) ในพม่า และตั้งรกรากอยู่ที่นั่น ผู้คนของพระองค์ได้แต่งงานข้ามวัฒนธรรมกับชนท้องถิ่นพม่าและค่อยๆ รับเอาความเชื่อทางพุทธศาสนาเข้ามา
ชาวจักม่านับถือพุทธศาสนาลัทธิเถรวาท หมู่บ้านของชาวจักม่าทุกที่จะมีวัดหนึ่งแห่งที่เรียกว่า กาง (Kaang) ส่วนพระสงฆ์จะเรียกว่า ภิกขุ (Bhikhus) ซึ่งจะเป็นผู้นำในงานเทศกาลและพิธีเฉลิมฉลองทางพุทธศาสนาต่างๆ ชาวจักม่ายังบูชาเทพเจ้าต่างๆ ของฮินดูด้วย เช่น พระลักษมี ในฐานะเทพีแห่งการเก็บเกี่ยว พวกเขาจะบูชายัญแพะ ไก่ หรือเป็ด เพื่อ calm the spirits ที่เชื่อว่านำโรคภัยและความเจ็บป่วยมาให้ แม้ว่าเรื่องการบูชายัญสัตว์ทั้งเป็นนี้ขัดกับหลักความเชื่อทางพุทธศาสนาก็ตาม อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้อิทธิพลจากตะวันตกและมิชชั่นแนรี่ ทำให้ชนเผ่าจักม่าจำนวนมากเปลี่ยนมานับถือคริสตศาสนา
จักม่าแบ่งออกเป็นตระกูลต่างๆ ที่เรียกว่า โกจา (gojas) ซึ่งยังแบ่งเป็นตระกูลย่อยที่เรียกว่า กุฏี (guttis) สมาชิกที่อยู่ในตระกูลย่อยเดียวกันห้ามแต่งงานกัน บิดามารดาจะเป็นผู้จัดการแต่งงานให้ เจ้าสาวของชนเผ่าจักม่าจะได้รับสินสอดจากครอบครัวของฝ่ายชาย ซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมอินเดียที่ฝ่ายชายเป็นฝ่ายได้รับ ซึ่งเป็นการเจรจาพูดคุยของทั้งสองครอบครัว พิธีแต่งงานของชาวจักม่า เรียกว่า ชูมูลอง (Chumulong) ซึ่งจ้ดโดยพระสงฆ์
ผู้ชายชายจักม่านุ่งห่มเสื้อผ้าตามแบบสากลนิยม ได้แก่ เสื้อเชิร์ท และกางเกงขายาว แต่ผู้หญิงยังคงรักษาการแต่งกายตามแบบประเพณีนิยม ประกอบด้วยผ้าสองผืน ผืนหนึ่งนุ่งห่มเป็นผ้าถุงด้านล่างซึ่งยาวกรอมข้อเท้า สีดั้งเดิมจะใช้สีดำหรือน้ำเงิน มีขอบสีแดงที่ส่วนบนและล่างของผ้า ผ้าชิ้นที่สองจะพันแน่นรอบอก ซึ่งเป็นผ้าทอด้วยลายหลากสีสัน ผู้หญิงชาวจักม่ามีทักษะในการทอผ้าที่ดีและทอผ้าขึ้นใช้เอง
นิยมสร้างบ้านตามไหล่เขาใกล้แม่น้ำหรือลำธาร เครือญาติจะตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงกัน บ้านตามธรรมเนียมนิยมของชาวจักม่าจะสร้างด้วยไม้ไผ่ บนฐานไม้ไผ่หรือพื้นไม้ที่มีใต้ถุนสูงจากพื้นราว 2 เมตร ชาวจักม่าทำการเกษตร จะถากถางต้นไม้และเผาในช่วงฤดูแล้งราวเดือนเมษายน จะทำการเพาะปลูกในฤดูฝน และเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน
อาหารหลักของชาวจักม่าคือ ข้าว และมีธัญพืชอื่นๆ เป็นอาหารเสริม ได้แก่ ข้าวฟ่าง ข้าวโพด มัสตาร์ด ส่วนพืชผักที่ใช้เป็นอาหาร ได้แก่ มันเทศ ฟักทอง ผักจำพวกแตงต่างๆ รวมทั้งพืชผักและผลไม้ที่หาได้จากป่าด้วย ชาวจักม่ารับประทานเนื้อสัตว์ทั้ง ปลา ไก่ และแม้แต่หมู ชาวจักม่าไม่ชอบดื่มนม แต่พวกเขาดื่มอัลกอฮอล์ที่หมักเองในครัวเรือนทำมาจากข้าว โดยเฉพาะนิยมดื่มในช่วงเทศกาลและงานสำคัญทางสังคมต่างๆ
ชาวจักม่าฉลองเทศกาลสำคัญเช่นเดียวกับชาวพุทธทั่วไป โดยเฉพาะในวันวิสาขบูชา (Buddha Purnima) ถือเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุด ชาวจักม่าจะไปทำบุญเลี้ยงพระที่วัด จุดเทียน ฟังเทศนา แจกจ่ายอาหารแก่คนยากจน บิชู (Bishu) เป็นอีกเทศกาลสำคัญของชาวจักม่า เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นสามวัน ซึ่งตรงกับวันปีใหม่ของเบงกอลี เทศกาลนี้จะฉลองกันอย่างสนุกสนาน
Information courtesy:
อ้างอิง
http://learningpune.com/?p=16945 เรียนอินเดีย-ปูเณ่